วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Diary Note 26 May 2016

วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาเเบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )
อารจารย์ผู้สอน  อ.กฤต  แจ่มถิน
ประจำวัน  พุธที่  26 พฤภาคม 2559
เรียนครั้งที่  12   เวลา  08.30 -12.30 น.
กลุ่ม  102  ห้อง 224

โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program)

แผน IEP

  • แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
  • เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
  • ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
  • โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก

การเขียนแผน IEP
  • คัดแยกเด็กพิเศษ
  • ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
  • ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
  • เด็กสามารถทำอะไรได้  / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
  • แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP

IEP ประกอบด้วย
  • ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
  • ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
  • การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
  • เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
  • ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
  • วิธีการประเมินผล

ประโยชน์ต่อเด็ก

  • ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
  • ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
  • ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
  • ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ

ประโยชน์ต่อครู
  • เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
  • เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
  • ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
  • เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
  • ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ

ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
  • ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
  • ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
  • เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล

  • รายงานทางการแพทย์
  • รายงานการประเมินด้านต่างๆ
  • บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
  • ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
  • กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
  • กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
  • จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การกำหนดจุดมุ่งหมาย
  • ระยะยาว
  • ระยะสั้น

จุดมุ่งหมายระยะยาว
  • กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
  • น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
  • น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
  • น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้

จุดมุ่งหมายระยะสั้น
  • ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
  • เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
  • จะสอนใคร
  • พฤติกรรมอะไร
  • เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
  • พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน

ใคร                         มุก
อะไร                       กระโดดขาเดียวได้        
เมื่อไหร่ / ที่ไหน        กิจกรรมกลางแจ้ง
ดีขนาดไหน              กระโดดได้ขาละ 5 ครั้ง 
                             ในเวลา 30 วินาที

ใคร                        บอย
อะไร                      นั่งเงียบๆโดยไม่พูดคุย        
เมื่อไหร่ / ที่ไหน        ระหว่างครูเล่านิทาน
ดีขนาดไหน             ช่วงเวลาการเล่านิทาน 10 - 15 นาที
                            เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน

3. การใช้แผน

  • เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
  • นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
  • แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
  • จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
  • ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
  • ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
  • ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
  • อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก

4. การประเมินผล 

  • โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
  • ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล

** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม
            อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน**

การจัดทำ IEP






ตัวอย่างแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล








กิจกรรมวาดรูประบายสีวงกลม ทายนิสัย



รางวัลเด็กดี
                      


ความรู้ที่ได้รับ
    - ได้รับความรู้ในเรื่องของการเขียนแผนเฉพาะบุคคลว่ามีขั้นตอนการเขียน และต้องเขียนอย่างไรบ้าง

    ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
    เพื่อนในห้องโดยรวมตั้งใจเรียนค่ะ มีแอบเล่นแอบคุยกันบ้างเล็กน้อย บางคนก็กินอาหารในห้องเรียน

    ประเมินอาจารย์
      - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย มีกิจกรรมต่างๆ ให้นักศึกษาได้ทำ อาจารย์สอนเข้าใจง่าย

      Diary Note 20 May 2016

      วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาเเบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
      ( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )
      อารจารย์ผู้สอน  อ.กฤต  แจ่มถิน
      ประจำวัน  พุธที่  20 พฤษภาคม 2559
      เรียนครั้งที่  10   เวลา  08.30 -12.30 น.
      กลุ่ม  102  ห้อง 224

      การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
      • เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน 
      • ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด  
      • เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)
      1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
      • เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด 
      • เกิดผลดีในระยะยาว 
      • เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
      • แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program; IEP)
      • โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน
      2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
      • การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน (Activity of Daily Living Training)
      • การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
      • การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story
      3. การบำบัดทางเลือก
      • การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
      • ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
      • ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
      • การฝังเข็ม (Acupuncture)
      • การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)
      การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
      • การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) 
      • โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS) 
      • เครื่องโอภา (Communication Devices) 
      • โปรแกรมปราศรัย
      Picture Exchange Communication System (PECS)



      บทบาทของครู
      • ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู 
      • ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
      • จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
      • ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง 
      การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
      1. ทักษะทางสังคม
      • เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
      • การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข
      กิจกรรมการเล่น
      • การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
      • เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
      • ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน  แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง
      ยุทธศาสตร์การสอน
      • เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น  ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
      • ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
      • จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
      • ครูจดบันทึก
      • ทำแผน IEP
      การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
      • วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
      • คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
      • ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
      • เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ
      ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น
      • อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
      • ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
      • ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
      • เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
      • ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม
      การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
      • ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
      • ทำโดย “การพูดนำของครู”
      ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
      • ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
      • การให้โอกาสเด็ก
      • เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
      • ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง
      2. ทักษะภาษา
      การวัดความสามารถทางภาษา
      • เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
      • ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
      • ถามหาสิ่งต่างๆไหม
      • บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
      • ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
      การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด.การพูดตกหล่น
      • การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
      • ติดอ่าง
      การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
      • ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
      • ห้ามบอกเด็กว่า  “พูดช้าๆ”   “ตามสบาย”   “คิดก่อนพูด”
      • อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
      • อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
      • ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
      • เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน
      ทักษะพื้นฐานทางภาษา
      • ทักษะการรับรู้ภาษา
      • การแสดงออกทางภาษา
      • การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด
      พฤติกรรมตอบสนองการแสดงออกทางภาษา


      พฤติกรรมเริ่มการแสดงออกของเด็ก



      ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
      • การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
      • ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
      • ให้เวลาเด็กได้พูด
      • คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
      • เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
      • เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว
      • ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
      • กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง (ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
      • เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
      • ใช้คำถามปลายเปิด
      • เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น
      • ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
      การสอนตามเหตุการณ์ (Incidental Teaching)

      3. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง

      "เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด การกินอยู่  การเข้าห้องน้ำ การแต่งตัว กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน"



      การสร้างความอิสระ

      • เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
      • อยากทำงานตามความสามารถ
      • เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่
      ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
      • การได้ทำด้วยตนเอง
      • เชื่อมั่นในตนเอง
      • เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี
      หัดให้เด็กทำเอง
      • ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
      • ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
      • ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
      • “ หนูทำช้า ”  “ หนูยังทำไม่ได้ ” 
      จะช่วยเมื่อไหร่
      • เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร , หงุดหงิด , เบื่อ , ไม่ค่อยสบาย
      • หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
      • เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
      • มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม
      ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 2-3 ปี)


      ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 3-4 ปี)


      ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 4-5 ปี)


      ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 5-6 ปี)


      ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
      • แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
      • ย่อยงาน 
      • เรียงลำดับตามขั้นตอน
      การเข้าส้วม
      • เข้าไปในห้องส้วม
      • ดึงกางเกงลงมา
      • ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
      • ปัสสาวะหรืออุจจาระ
      • ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
      • ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
      • กดชักโครกหรือตักน้ำราด
      • ดึงกางเกงขึ้น
      • ล้างมือ
      • เช็ดมือ
      • เดินออกจากห้องส้วม
      การวางแผนทีละขั้น
      • แยกกิจกรรมเป็นขั้นย่อยๆให้มากที่สุด


      สรุป
      • ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
      • ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
      • ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
      • ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
      • เด็กพึ่งตนเองได้ รู้สึกเป็นอิสระ
      4. ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
      เป้าหมาย
      • การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้  
      • มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
      • เด็กรู้สึกว่า “ฉันทำได้”
      • พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
      • อยากสำรวจ อยากทดลอง
      ช่วงความสนใจ
      • ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
      • จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
      การเลียนแบบ

      การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ

      • เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
      • เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
      • คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่

      การรับรู้ การเคลื่อนไหว

      • ได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส กลิ่น
      • ตอบสนองอย่างเหมาะสม

      การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
      • การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
      • ต่อบล็อก
      • ศิลปะ
      • มุมบ้าน
      • ช่วยเหลือตนเอง
      ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ
      • ลูกปัดไม้ขนาดใหญ่
      • รูปต่อที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก
      ความจำ
      • จากการสนทนา
      • เมื่อเช้าหนูทานอะไร
      • แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
      • จำตัวละครในนิทาน
      • จำชื่อครู เพื่อน
      • เล่นเกมทายของที่หายไป
      การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
      • จัดกลุ่มเด็ก
      • เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
      • ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
      • ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
      • ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
      • ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
      • บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
      • รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
      • มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
      • เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
      • พูดในทางที่ดี
      • จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
      • ทำบทเรียนให้สนุก
      ความรู้ที่ได้รับ
      • ได้รับความรู้ในเรื่องของการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กด้านทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา รวมไปถึงทักษะการช่วยเหลือตัวเอง อีกทั้งยังได้รู้ถึงการเขียนย่อยงาน ว่าการย่อยงานเป็นอย่างไร และต้องเขียนอย่างไร
      ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
      • เพื่อนๆมีความตั้งใจเรียน แต่มีบางคนคุยกันบ้างและแอบกินขนมบ้างเล็กน้อยค่ะ
      ประเมินอาจารย์
      • อาจารย์สอนเข้าใจง่าย มีสื่อการสอนที่ทันสมัย มีตัวอย่างให้ดูอย่างชัดเจน เข้าสอนตรงต่อเวลา

      Diary Note 30 March 2016

      วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาเเบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
      ( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )
      อารจารย์ผู้สอน  อ.กฤต  แจ่มถิน
      ประจำวัน  พุธที่  30 มีนาคม 2559
      เรียนครั้งที่  10   เวลา  08.30 -12.30 น.
      กลุ่ม  102  ห้อง 224

      รูปแบบการจัดการศึกษา
      • การศึกษาแบบปกติทั่วไป (Regular Education) รร.ทั่วๆ ไป
      • การศึกษาพิเศษ (Special Education) ส่วนใหญ่อยู่ในมหาวิทยาลัย
      • การศึกษาแบบเรียนร่วม (Inteagrated Education หรือ Mainstreaming)
      • การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)


      การจัดการศึกษาสำหรับเด็กมีความต้องการพิเศษ
      • เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้ารับโอกาสในการเรียนที่เหมาะสมกับความต้องการของเขา

      ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม(Integrated Education หรือ Mainstreaming)
      • การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
      • มีกิจกรรมให้เด็กพิเศษกับเด็กปกติทั่วไปได้ทำร่วมกัน
      • ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
      • ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

      การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 
      • การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
      • เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ 
      • เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 
      การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) 
      • การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน 
      • เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
      ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
      • การศึกษาสำหรับทุกคน
      • รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา 
      • จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
      Wilson , 2007
      • การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก 
      • การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
      • กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ 
      • เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
       "Inclusive Education is Education for all, It involves receiving people at the beginning of their education, with provision of additional services needed by each individual"

      สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
      • เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
      • เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
      • เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน  (Education for All)
      • การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
      • เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
      • เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน 
      • ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก
      ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม สำหรับเด็กปฐมวัย
      • ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
      • “สอนได้”
      • เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
      บทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม

      ครูไม่ควรวินิจฉัย
      • การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
      • จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
      • ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
      • เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
      • ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
      • เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
      ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
      • พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
      • พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
      • ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
      • ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
      • ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
      ครูทำอะไรบ้าง
      • ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
      • ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
      สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
      • จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
      สังเกตอย่างมีระบบ
      • ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
      • ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
      • ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
      การตรวจสอบ
      • จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
      • เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
      • บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
      ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
      • ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
      • ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
      • พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
      การบันทึกการสังเกต
      • การนับอย่างง่ายๆ
      • การบันทึกต่อเนื่อง
      • การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
      การนับอย่างง่ายๆ
      • นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
      • กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
      • ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
      การบันทึกต่อเนื่อง
      • ให้รายละเอียดได้มาก
      • เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
      • โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
      การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
      • บันทึกลงบัตรเล็กๆ
      • เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
      การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
      • ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
      • พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
      การตัดสินใจ
      • ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
      • พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
      กิจกรรมวาดภาพดอกบัว




      ความรู้ที่ได้รับ
      - ได้รับความรู้ในเรื่องของการจัดการศึกษาให้กับเด็กพิเศษว่าเราควรจัดการศึกษาแบบใดในกรณีที่มีเด็กพิเศษเรียนร่วมเด็กปกติ

      ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
      - เพื่อนในห้องโดยรวมตั้งใจเรียนค่ะ มีแอบเล่นแอบคุยกันบ้างเล็กน้อย

      ประเมินอาจารย์
      - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย มีกิจกรรมต่างๆ ให้นักศึกษาได้ทำ อาจารย์สอนเข้าใจง่าย แต่งกายเรียบร้อย